Urban Decay Naked Palette
Palette สามัญประจำบ้าน คิดว่าหลายๆ คนคงมีอยู่แล้ว
ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วโลก บรรดาสาวๆ ทั้งหลายถึงกับบอกว่านี่เป็น 1 ใน Must Have Items เลยทีเดียว
จากความที่มันขายดีมากๆ นี่เอง ราคาก็เลยเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ $2
จำได้ว่าตอนออกมาใหม่ๆ ราคาอยู่ที่ $40 กว่าๆ ล่าสุดตอนนี้ล่อไป $54 แล้ว
แถมเห็นปลอมเยอะมากๆ เรียกว่าวางขายกันเกลื่อน
ไม่ใช่แค่เฉพาะที่เมืองไทย แม้แต่ใน Ebay หรือตามเว็บไซด์ ก็มีของปลอมขายเพียบ
ออกล่วงหน้าของจริงไปจนถึง Naked 5 เลยก็มี
ถ้าใครจะซื้อก็พยายามหาจากแหล่งที่ไว้ใจได้นะคะ
ตอนแรกลังเลว่าจะเอา Naked หรือ Naked 2 ดี เพราะเราคงไม่ซื้อทั้ง 2 อันพร้อมๆ กันทีเดียว
ในความรู้สึกเรามันเหมือนกันมากเกินไป แค่เป็น Warm Tone กับ Cool Tone เท่านั้นเอง
แถมเราก็มี 15 yrs Palette ที่เพิ่งได้มาแล้วด้วย (อ่านรีวิวได้ที่ Review Urban Decay 15 Year Anniversary Eyeshadow Collection)
หลังจากที่ศึกษาสารพัดความเห็นและรีวิวต่างๆ ก็พบว่า Naked มีสีแนว Warm Tone มากกว่า Naked 2
แน่นอนว่ามันจะเข้ากับผิวเหลืองๆ ของสาวเอเชียอย่างเราได้ดีกว่า
ก็จัดไปซิคะ Original มันก็ต้องดีที่สุดจริงมั้ย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่ดังขนาดนี้
ตอนที่เราซื้อเป็นรุ่นที่มาพร้อมแปรงหัวเดียว และมาในกล่องกำมะหยี่สีม่วงตามสไตล์ Urban Decay
รุ่นแรกจะมาพร้อมกับอายไลเนอร์แบบดินสอสองสี แต่ไม่รู้ว่าผลิตไม่ทันหรือว่าไม่คุ้มทุนก็ไม่ทราบได้ เลยเปลี่ยนมาเป็นแปรงแทน
ส่วนอายไลเนอร์นั่น เค้าก็เอามาแยกขายต่างหาก
รุ่นล่าสุดนี่ตามรูปด้านบน เปลี่ยนไปเป็นกล่องกระดาษ และแปรงที่แถมมาด้วยก็เปลี่ยนเป็นแปรง 2 หัวแทน
ด้านหลังกล่องจะมีรายละเอียดบอกไว้ว่าใน Palette มีอะไรบ้าง
ทาง Urban Decay เค้าเคลมว่า Naked Palette เป็น Eyeshadow Palette ที่ขายดีที่สุดในโลกเลยนะ
อาจจะจริงก็ได้ เพราะอิชั้นก็สอยมา 1 อย่างที่เห็น
เป็น Palette สารพัดประโยชน์ ถ้าไม่ได้เป็นคนเล่นสีสันมากนะ ตลับเดียวเอาอยู่
ได้ตั้งแต่แต่งเบาๆ No makeup, makeup ไป Everyday look ยัน Smokey eyes
แต่งกลางวันก็ได้ แต่งไปงานกลางคืนก็สวยเริ่ด
มีอายแชโดว์ทั้งหมด 12 สี เรียงจากซ้ายไปขวา
Virgin – Sin – Naked – Sidecar – Buck – Half Baked – Smog – Darkhorse – Toasted – Hustle – Creep – Gunmetal
(รูป Swatch Credit: Sephora.com)
ถึงจะมีสีแมทเนื้อด้านแค่ 2 สี คือ Naked กับ Buck แต่ก็เป็น 2 สีที่สวยและใช้ได้จริง
เอาไว้ใช้คัดเบ้าได้สบายๆ ไม่ว่าจะผิวอ่อนหรือเข้ม
ส่วน Virgin ก็เป็นสีไฮไลท์ที่สวยมากกกกก ไม่วิบวับจนเกินไป กำลังดี
สีโปรดของเราคือ Sin กับ Smog (ที่จริงก็ชอบเกือบทุกสีแหละ แต่ 2 สีนี่ชอบที่สุด)
ตัวกล่องเป็นกำมะหยี่สีน้ำตาลเข้ม
หลายคนบ่นว่าเลอะง่าย ดูแลรักษายาก เพราะฝุ่นจะชอบไปจับอยู่ที่ตัว Palette
ตัว Palette เองค่อนข้างบางและเบา เหมาะกับการเดินทาง พกไปไหนมาไหนได้สะดวก
แต่ฝาปิดไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ คือเป็นแบบพับลงมาเหมือนกระดาษ Cardboard เฉยๆ
ซึ่งข้อเสียนี้ได้ถูกปรับปรุงใน Naked รุ่นต่อๆ มา ตั้งแต่ Naked 2 เป็นต้นไป
ที่เปลี่ยนเป็นฝาแบบปิดสนิทขึ้นและมีตัวล็อคกันฝาเปิดเอง
ต้องยอมรับว่าเป็น Palette ที่เลือกสีอายแชโดว์มารวมกันได้สวยจริงๆ
โทน Neutral สีน้ำตาลตั้งแต่อ่อนไล่ไปจนเข้ม เป็นสีสันที่สะกดใจสาวๆ ทั่วโลกให้หลงรัก และหลงซื้อกันมานักต่อนัก
แถมยังเป็นโทนสีที่ค่อนข้างใช้ง่าย แต่งแล้วพลาดยาก จับคู่สีไหนมารวมกันก็ดูดี
ด้านในมีกระจกอยู่ด้วย บานเล็กไปหน่อย แต่เอาจริงๆ เราไม่ได้ใช้หรอก กระจกบานใหญ่ที่บ้านก็มี
เวลาแต่งหน้าก็มีกระจกใหญ่ๆ ไว้ส่องอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้ใช้ในตลับเท่าไหร่
แถมเราเป็นคนไม่พก Eyeshadow ไปเติมนอกบ้าน เพราะฉะนั้นกระจกเล็กไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา
อีก 1 สิ่งที่แถมมาด้วยคือ Urban Decay Eyeshadow Primer Potion
เป็น Eyeshadow Base หรืออายไพรเมอร์ที่เอาไว้ลงบนเปลือกตาก่อนลงอายแชโดว์นั่นเอง
ตัวนี้จะช่วยทำให้ Eyeshadow ติดทน และเห็นสีชัดเจนขึ้น
หลอดเหมือนจะเล็ก แต่ใช้ได้นานทีเดียว เพราะเวลาใช้จริงๆ ใช้แค่นิดเดียวเท่านั้น
พวกผลิตภัณฑ์ประเภทไพรเมอร์นี่ ใช้แต่น้อยจะให้ผลที่ดีกว่า
แปรงที่แถมมาในกล่องชื่อ Urban Decay Good Karma Shadow Brush ตัวนี้มีแยกขายต่างหากด้วยนะ
ถึงจะเป็นแปรงแถมแต่ก็คุณภาพดีเลยล่ะ ใช้ทาอายแชโดว์ได้ดี และจิกสีได้เยอะ
ไม่ใช่แปรงหัวฟองน้ำไก่กาแบบที่แถมกันทั่วไป
แต่อย่างที่บอกว่าตอนนี้เปลี่ยนเป็นแปลง 2 หัวแล้ว ตามรูปด้านบนจ้า