ที่ US กำหนดให้ครีมกันแดดเป็นยาที่วางขายได้ทั่วไป (OTC – Over The Counter Medication) ต้องมีการทดลองทั้งในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพค่อนข้างเข้มงวดเหมือนเป็นยาชนิดหนึ่ง
ในขณะที่ยุโรปกำหนดให้ครีมกันแดดเป็นเครื่องสำอางจึงไม่จำเป็นต้องทดสอบมากนัก
จากในรูปจะเห็นว่า USA มีสารกันแดดแบบ mineral ที่ FDA Approved แค่ 2 ตัวเอง รู้จักกันดี Zinc และ Titanium
จนปี 2014 ก็มีกฎหมายใหม่ออกมา ยอมให้ FDA อนุโลมสารกันแดดที่ประเทศอื่นใช้อยู่ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพทั้งหมด 8 ตัว ได้แก่
– Amiloxate
– Bemotrizinol (Tinosorb S, Parsol Shield, Escalol S)
– Bisoctrizole (Tinosorb M, Eversorb M, Milestab 360)
– Drometrizole Trisiloxane (Mexoryl XL)
– Ecamsule (Mexoryl SX)
– Enzacamene (Eusolex 6300, Parsol 5000)
– Iscotrizino (Uvasorb HEB)
– Octyl Triazone (Uvinuk T150)
แต่เชื่อไหมว่าจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีตัวไหนได้อนุมัติอย่างเป็นทางการเลย
สารกันแดดตัวล่าสุดที่ผ่านการอนุมัติจาก FDA คือตั้งแต่ปี 1999!!
ส่วนผสมล้าหลังยังไม่พอ บางรัฐยังมีข้อกำหนดที่ต่างกันออกไปด้วย เช่น Octinoxate จะไม่อนุญาตให้วางขายในฮาวายและฟลอริด้า
ความเข้มข้นที่กำหนดก็น้อยกว่า เช่น Avobenzone ซึ่งเป็นสารกันแดด 1 ในไม่กี่ตัวที่กัน UVA ได้ดี ก็ถูกกำหนดให้ใช้ได้แค่ 3% ในขณะที่ยุโรปให้ถึง 5%
แล้วยังมีการห้ามไม่ให้ผสมส่วนผสมบางอย่างเข้าด้วยกัน เช่น Avobenzone ห้ามผสมกับสารกันแดดแบบ mineral
แม้สารกันแดดแบบ mineral จะดีกว่า แต่ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงก็ยังต้องใช้ทั้งแบบ mineral และ chemical ผสมกันไปจึงจะกันได้ดีทั้ง UVA และ UVB
นอกจากนี้ยังไม่อนุญาตให้ใช้สารกันแดด mineral ในรูปแบบนาโน แปลว่าแม้ประสิทธิภาพการกันแดดอาจจะพอๆ กันแต่จะขาววอกกว่าแน่นอน
ด้วยข้อกำหนดมากมายใน US ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะมีครีมกันแดดที่กันได้ดี เสถียร และเนื้อบางเบาถูกใจลูกค้า แม้จะเป็นบริษัทใหญ่มีเงินลงทุนเยอะก็ตาม
ใน UK ค่าการป้องกันรังสี UVA จะใช้ดาว โดย 5 ดาวคือกันได้ดีที่สุด
ยุโรปใช้โลโก้ UVA ส่วนประเทศอื่นเช่น ไทย เกาหลี จะใช้ PA+ ยิ่ง+ มากคือกันได้มากนั่นเอง
เวลาเราเห็นครีมกันแดดที่เขียนว่า Broad Spectrum คนส่วนใหญ่จะนึกว่ากันได้ทั้ง UVA + UVB
แต่ในความเป็นจริง คำนี้ที่ US หมายถึง ครีมกันแดดนี้ 90% กันรังสีได้ถึงที่ความยาวคลื่น 370nm ซึ่งถือเป็นครึ่งเดียวของความยาวคลื่นของ UVA1 (320-400nm)
แปลว่ากันรังสี UVA1 ได้แค่อย่างมาก 10% เท่านั้นเอง
ส่วนของยุโรปจะเคร่งกว่าเพราะกำหนดว่าอัตราส่วนของ UVA:SPF จะต้องมากกว่า 1:3
มีงานวิจัยตีพิมพ์ในปี 2017 ทดสอบครีมกันแดด 20 ตัว ที่วางขายในอเมริกา พบกว่า 19 ตัว (95%) ผ่านมาตรฐาน broad spectrum ของ US
แต่มีแค่ 11 ตัวเท่านั้น (55%) ที่ผ่านมาตรฐานยุโรป
จากในกราฟจะเห็นความแตกต่างระหว่างครีมกันแดด 2 ตัวที่ใช้ในงานวิจัย
โดยทั้ง 2 ตัวมีค่า SPF เท่ากัน และติดฉลาก Broad Spectrum ใน US แต่ค่าการป้องกัน UVA1 นั้นต่างกันมาก
ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะส่วนผสมที่ป้องกัน UVA1 ได้ดีและใช้ได้ในอเมริกาค่อนข้างมีจำกัดมาก แถมยังควบคุมการใช้ Avobenzone ซึ่งกัน UVA1 ได้ดีอีกตะหาก
นอกจากนี้สารตัวอื่นที่กัน UVA1 ได้ดีซึ่งใช้ได้ใน EU เช่น Tinosorb S หรือ Tinosorb M ก็ไม่อนุญาตให้ใช้ใน US
แต่ละประเทศก็มีข้อกำหนดแตกต่างกันไป แต่ข้อกำหนดเรื่องครีมกันแดดของ US กับ EU นี่แทบจะเรียกได้ว่าหนังคนละม้วน เกือบจะเป็นผลิตภัณฑ์คนละตัวกันเลยก็ว่าได้
แหม… อยากจะรู้จริงเลยว่ากันแดด 11 ตัวที่ผ่านมาตรฐานยุโรปในงานวิจัยนั้นมีอะไรบ้าง เสียดายที่เค้าไม่ยอมบอก รู้แค่ว่าเค้าซื้อตัวที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ มาจาก CVS ในซานฟรานกับนอร์ทแคโรไลน่า เพื่อมาทำงานวิจัยเท่านั้นเอง
แต่ละประเทศก็มีข้อบังคับต่างๆ กันไป แต่จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. Cosmetics
หลายประเทศจัดครีมกันแดดให้อยู่ในหมวดนี้ เพราะถือว่าการป้องกันผิวจากแสงแดดเป็นผลจากเครื่องสำอาง การควบคุมจะไม่ค่อยเคร่งครัดมากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีกฎควบคุมแต่อย่างใด เพราะยังต้องผ่านการทดสอบว่าปลอดภัยและผ่านข้อกำหนดต่างๆ สำหรับครีมกันแดดอยู่ดี
2. OTC (Over The Counter) Drug
ประเทศในกลุ่มนี้ เช่น USA ถือว่าครีมกันแดดเป็นยาสามัญที่หาซื้อได้ทั่วไปแต่กฎข้อบังคับนั้นเข้มงวดเท่ากับยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ แม้จะหาซื้อได้ง่ายกว่าก็ตาม
ใน US และแคนาดาจะอนุญาตให้ขึ้นฉลากว่า Broad Spectrum ต่อเมื่อค่า SPF มากกว่า 15
ในบางประเทศกำหนดว่า ห้ามเคลมว่าป้องกันแสง UV ได้ทุกชนิด หรือทาครั้งเดียวอยู่ได้ทั้งวัน
ประเทศส่วนใหญ่จะกำหนดค่า SPF สูงสุดที่จะเคลมลงฉลากได้ที่ 50+ เท่านั้น ห้ามเขียนมากกว่านี้
Credit: Dr. Rakesh Patalay
Consultant Dermatologist.